การประเมินความคิดเห็นและความพึงพอใจสำหรับผู้เข้าร่วม
ผลการประเมิน
หัวข้อประเมิน มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย ควรปรับปรุง
(5) (4) (3) (2) (1)
1. การประชาสัมพันธ์กิจกรรม/โครงการ 4.47
2. รูปแบบการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม 4.76
3. เนื้อหา/กิจกรรมของโครงการมีความเหมาะสม 4.84
4. เวลาที่ใช้ในการจัดโครงการมีความเหมาะสม 4.76
5. วิทยากรในกิจกรรม มีความเหมาะสมเพียงใด 4.87
6. สถานที่จัดโครงการมีความเหมาะสม 4.79
7. การอำนวยความสะดวกการจัดกิจกรรมเหมาะสม 4.74
8. กิจกรรมนี้ช่วยการพัฒนาความรู้ 4.82
9. กิจกรรมนี้ช่วยการพัฒนาทัศนคติ 4.76
10. การนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 4.74
11. ภาพรวมของการจัดอบรม 4.82
12. ควรมีการจัดกิจกรรมรูปแบบนี้ต่อไป 4.92
รวมระดับค่าเฉลี่ย 4.77
หมายเหตุ
ระดับค่าเฉลี่ยของความรู้สึกต่อกิจกรรม
1.00-1.50 หมายถึง ระดับควรปรับปรุง
1.51-2.50 หมายถึง ระดับน้อย
2.51-3.50 หมายถึง ระดับปานกลาง
3.51-4.50 หมายถึง ระดับมาก
4.51-5.00 หมายถึง ระดับมากที่สุด
จากตาราง แสดงผลการประเมินความคิดเห็นและความพึงพอใจสำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมการอบรม โดยมีระดับค่าเฉลี่ยรวมของความรู้สึกต่อกิจกรรมเท่ากับ 4.77 ซึ่งอยู่ในระดับมากที่สุด
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ตัวอย่างโครงการ โรคความดันโลหิตสูง
โครงการรำวงย้อนยุคเพื่อสุขภาพ
หลักการและเหตุผล
ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศในประเทศในปัจจุบัน และเป็นสาเหตุการตาย 5 อันดับแรกของประเทศ (สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข,2549)จากรายงานการเฝ้าระวังโรคไม่ติดต่อเรื้อรังปี 2551 ของสำนักระบาดวิทยาพบว่าประเทศไทยผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวน 1,145,557 ราย โดยเป็นผู้ป่วยเก่า 781,627 ราย และป่วยใหม่ 363,930 ราย เป็นผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน 1,123,424 ราย และมีภาวะแทรกซ้อน 22,133 รายคิดเป็นร้อยละ 98.07 และ1.93 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทั้งหมดตามลำดับ หากปล่อยให้ผู้ป่วยให้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรังไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ผู้ที่ป่วยมีชีวิตสั้นลงกว่าคนปกติ 10-20 ปี (วิทยา ศรีมาดา ,2546)
จากการศึกษาวิจัย เรื่องอุปสรรคการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ตำบลแม่กรณ์ ในปี 2553 ของ อาจารย์ ดร. จักรกฤษณ์ วังราษฎร์ และคณะ พบว่าการนำความรู้ไปปฏิบัติ ของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง มีอุปสรรคที่สำคัญคือการหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีปริมาณเกลือสูง ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในตำบลแม่กรณ์ส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจว่าการรับประทานอาหารที่มีเกลือสูงจะทำให้มีผลต่อการเพิ่มระดับความโลหิตสูงแต่ไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้เนื่องมาจากความเคยชินในรสชาติ หากไม่มีรสชาติและรับประทานอาหารมื้อนั้นๆ ได้น้อยลง และบางครอบครัวผู้ป่วยต้องรับประทานอาหารร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ ไม่ได้แยกอาหารเฉพาะจึงปรุงอาหารรสชาติเดียวกัน หากไม่เติมรสเค็มสมาชิกคนอื่นก็จะไม่ชอบและไม่รับประทานอาหารนั้นๆ อุปสรรคอีกประการหนึ่ง คือการไม่ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมร้อยละ 64.29 เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างเกือบทั้งหมดมีภาระการทำงานและการดูแลครอบครัว จึงไม่มีเวลาออกกำลังกาย บางส่วนเข้าใจว่าการออกแรงเช่น ทำงานบ้าน เดินเล่น เลี้ยงหลาน คือการออกกำลังกาย จึงไม่คิดออกกำลังกายอย่างอื่นเพิ่มเติม
ผลการสำรวจเบื้องต้น ข้อมูลด้านสุขภาพของประชาชนหมู่บ้านสวนดอก หมู่ที่ 3 ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พบว่ามีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจำนวน 37 คน คิดเป็นร้อยละ 13.50 ของประชากรทั้งหมด และส่วนใหญ่พบว่าขาดการออกกำลังกาย ดังนั้นจึงจัดทำโครงการ การรำวงย้อนยุค เพื่อสุขภาพ เพื่อทำให้กลุ่มผู้ป่วยมีความรู้การออกกำลังกายอย่างถูกต้องด้วยการ รำวงย้อนยุค มีทัศนคติที่ดีต่อการออกกำลังกาย และสามารถปฏิบัติ การรำวงย้อนยุคเพื่อสุขภาพ นำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้เป็นเหตุเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในชุมชนเกิดความผ่อนคลายและทำให้สุขภาพดีขึ้น ทั้งด้านร่างกายจิตใจ สังคม
หลักการและเหตุผล
ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศในประเทศในปัจจุบัน และเป็นสาเหตุการตาย 5 อันดับแรกของประเทศ (สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข,2549)จากรายงานการเฝ้าระวังโรคไม่ติดต่อเรื้อรังปี 2551 ของสำนักระบาดวิทยาพบว่าประเทศไทยผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวน 1,145,557 ราย โดยเป็นผู้ป่วยเก่า 781,627 ราย และป่วยใหม่ 363,930 ราย เป็นผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน 1,123,424 ราย และมีภาวะแทรกซ้อน 22,133 รายคิดเป็นร้อยละ 98.07 และ1.93 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทั้งหมดตามลำดับ หากปล่อยให้ผู้ป่วยให้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรังไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ผู้ที่ป่วยมีชีวิตสั้นลงกว่าคนปกติ 10-20 ปี (วิทยา ศรีมาดา ,2546)
จากการศึกษาวิจัย เรื่องอุปสรรคการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ตำบลแม่กรณ์ ในปี 2553 ของ อาจารย์ ดร. จักรกฤษณ์ วังราษฎร์ และคณะ พบว่าการนำความรู้ไปปฏิบัติ ของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง มีอุปสรรคที่สำคัญคือการหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีปริมาณเกลือสูง ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในตำบลแม่กรณ์ส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจว่าการรับประทานอาหารที่มีเกลือสูงจะทำให้มีผลต่อการเพิ่มระดับความโลหิตสูงแต่ไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้เนื่องมาจากความเคยชินในรสชาติ หากไม่มีรสชาติและรับประทานอาหารมื้อนั้นๆ ได้น้อยลง และบางครอบครัวผู้ป่วยต้องรับประทานอาหารร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ ไม่ได้แยกอาหารเฉพาะจึงปรุงอาหารรสชาติเดียวกัน หากไม่เติมรสเค็มสมาชิกคนอื่นก็จะไม่ชอบและไม่รับประทานอาหารนั้นๆ อุปสรรคอีกประการหนึ่ง คือการไม่ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมร้อยละ 64.29 เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างเกือบทั้งหมดมีภาระการทำงานและการดูแลครอบครัว จึงไม่มีเวลาออกกำลังกาย บางส่วนเข้าใจว่าการออกแรงเช่น ทำงานบ้าน เดินเล่น เลี้ยงหลาน คือการออกกำลังกาย จึงไม่คิดออกกำลังกายอย่างอื่นเพิ่มเติม
ผลการสำรวจเบื้องต้น ข้อมูลด้านสุขภาพของประชาชนหมู่บ้านสวนดอก หมู่ที่ 3 ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พบว่ามีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจำนวน 37 คน คิดเป็นร้อยละ 13.50 ของประชากรทั้งหมด และส่วนใหญ่พบว่าขาดการออกกำลังกาย ดังนั้นจึงจัดทำโครงการ การรำวงย้อนยุค เพื่อสุขภาพ เพื่อทำให้กลุ่มผู้ป่วยมีความรู้การออกกำลังกายอย่างถูกต้องด้วยการ รำวงย้อนยุค มีทัศนคติที่ดีต่อการออกกำลังกาย และสามารถปฏิบัติ การรำวงย้อนยุคเพื่อสุขภาพ นำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้เป็นเหตุเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในชุมชนเกิดความผ่อนคลายและทำให้สุขภาพดีขึ้น ทั้งด้านร่างกายจิตใจ สังคม
ตัวอย่างโครงการ โรคเบาหวาน
โครงการ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยโรคเบาหวาน
หลักการและเหตุผล
ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความทันสมัย อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาลในแต่ละยุคแต่ละสมัย ตลอดจนการเข้าถึงบริการของรัฐยามเจ็บป่วยของประชาชนที่เสมอภาคและเท่าเทียมกันในโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้สถานภาพด้านสุขภาพและแบบแผนพฤติกรรมการเจ็บป่วยของประชาชนเปลี่ยนไป ดังจะเห็นได้จากการเจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อที่เกิดจากตัวเชื้อโรค สิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมและสุขวิทยาส่วนบุคคลมีแนวโน้มลดลง แต่การเจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่ติดต่ออันเกี่ยวเนื่องมาจากพฤติกรรมและวิถีชีวิตกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น เช่น การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคเบาหวานและอุบัติเหตุ ที่มีอัตราการเกิดโรคเพิ่มสูงขึ้นและเป็นสาเหตุการตายในอันดับต้นๆ ของประเทศ
โรคเบาหวานเป็นกลุ่มโรคเรื้อรัง จากสถิติผู้มารับบริการโรงพยาบาลประชานุเคราะห์ด้วยโรคเบาหวานในปี พ.ศ. 2547,2548 และ 2549 จำนวน 333, 341 และ 350 ราย ตามลำดับ ผลการคัดกรองโรคเบาหวานในกลุ่มผู้ป่วย 40 ปี ขึ้นไป และมีผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำได้ในเลือดให้ปกติ เมื่อศึกษาเฉพาะประชากรที่อาศัยอยู่ใน หมู่ที่ ๑ ตำบลแม่กรณ์ โดยการสำรวจสุขภาพครอบครัวและชุมชน พบว่ามีผู้ป่วยโรคความเบาหวานร้อยละ 4.83 ของประชากรทั้งหมด 243 คน พฤติกรรมสุขภาพของประชาชนหมู่ที่ ๑ ตำบลแม่กรณ์ พบว่ากลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังอยู่เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งกลุ่มนี้จะอาศัยอยู่ในชุมชนที่มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตค่อนข้างมาก บุตรหลานที่ดูแลส่วนใหญ่เปลี่ยนวิถีชีวิตจากอาชีพเกษตรกรรม เป็นอาชีพรับจ้าง จึงไม่มีเวลาดูแลประกอบอาหารที่บ้านเท่าที่ควร ส่วนใหญ่พึ่งพาอาหารที่ปรุงสำเร็จ ประกอบกับผู้ป่วยโรคเบาหวานมีอายุค่อนข้างมาก ทำให้อัตราการเพิ่มการเป็นโรคเบาหวานสูงมาก
จากสภาพปัญหาดังกล่าว ชุมชนบ้านแม่กรณ์ หมู่ที่ ๑ อ.เมือง จ. เชียงราย กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานส่วนใหญ่ที่พบสาเหตุหลักคือ พฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงได้จัดโครงการ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพื่อให้กลุ่มผู้ป่วยเกิดความรู้ เกิดความตระหนัก เพิ่มศักยภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ที่ถูกต้อง เหมาะสม ส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง สุขภาพจิตดี เพื่อควบคุมโรคเบาหวาน
หลักการและเหตุผล
ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความทันสมัย อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาลในแต่ละยุคแต่ละสมัย ตลอดจนการเข้าถึงบริการของรัฐยามเจ็บป่วยของประชาชนที่เสมอภาคและเท่าเทียมกันในโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้สถานภาพด้านสุขภาพและแบบแผนพฤติกรรมการเจ็บป่วยของประชาชนเปลี่ยนไป ดังจะเห็นได้จากการเจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อที่เกิดจากตัวเชื้อโรค สิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมและสุขวิทยาส่วนบุคคลมีแนวโน้มลดลง แต่การเจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่ติดต่ออันเกี่ยวเนื่องมาจากพฤติกรรมและวิถีชีวิตกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น เช่น การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคเบาหวานและอุบัติเหตุ ที่มีอัตราการเกิดโรคเพิ่มสูงขึ้นและเป็นสาเหตุการตายในอันดับต้นๆ ของประเทศ
โรคเบาหวานเป็นกลุ่มโรคเรื้อรัง จากสถิติผู้มารับบริการโรงพยาบาลประชานุเคราะห์ด้วยโรคเบาหวานในปี พ.ศ. 2547,2548 และ 2549 จำนวน 333, 341 และ 350 ราย ตามลำดับ ผลการคัดกรองโรคเบาหวานในกลุ่มผู้ป่วย 40 ปี ขึ้นไป และมีผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำได้ในเลือดให้ปกติ เมื่อศึกษาเฉพาะประชากรที่อาศัยอยู่ใน หมู่ที่ ๑ ตำบลแม่กรณ์ โดยการสำรวจสุขภาพครอบครัวและชุมชน พบว่ามีผู้ป่วยโรคความเบาหวานร้อยละ 4.83 ของประชากรทั้งหมด 243 คน พฤติกรรมสุขภาพของประชาชนหมู่ที่ ๑ ตำบลแม่กรณ์ พบว่ากลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังอยู่เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งกลุ่มนี้จะอาศัยอยู่ในชุมชนที่มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตค่อนข้างมาก บุตรหลานที่ดูแลส่วนใหญ่เปลี่ยนวิถีชีวิตจากอาชีพเกษตรกรรม เป็นอาชีพรับจ้าง จึงไม่มีเวลาดูแลประกอบอาหารที่บ้านเท่าที่ควร ส่วนใหญ่พึ่งพาอาหารที่ปรุงสำเร็จ ประกอบกับผู้ป่วยโรคเบาหวานมีอายุค่อนข้างมาก ทำให้อัตราการเพิ่มการเป็นโรคเบาหวานสูงมาก
จากสภาพปัญหาดังกล่าว ชุมชนบ้านแม่กรณ์ หมู่ที่ ๑ อ.เมือง จ. เชียงราย กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานส่วนใหญ่ที่พบสาเหตุหลักคือ พฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงได้จัดโครงการ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพื่อให้กลุ่มผู้ป่วยเกิดความรู้ เกิดความตระหนัก เพิ่มศักยภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ที่ถูกต้อง เหมาะสม ส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง สุขภาพจิตดี เพื่อควบคุมโรคเบาหวาน
เครื่องมือ 7 ชิ้น
เครื่องมือ 7 ชิ้น
1 แผนที่เดินดิน เป็นเครื่องมือชิ้นแรกที่ใช้เข้าไปสัมผัสกับพื้นที่นั้น จะต้องลงเดิน ทักทายทำความรู้จักคุ้นเคยกับผู้คน เห็นพื้นที่ทางกายภาพว่าบ้านเรือน สถานที่สำคัญตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง และเข้าใจพื้นที่ทางสังคม ว่าจุดใดกันที่เป็นจุดศูนย์รวมของคนในชุมชน สถานที่ใดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นเขตหวงห้าม นักวิจัยคุณภาพจำเป็นต้องเรียนรู้ให้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ถึงเรื่องต่างๆเหล่านี้ของชุมชน
2 ผังเครือญาติ บอกความสัมพันธ์ของกลุ่มคนในครอบครัวหรือในวงศ์สกุลเดียวกัน ว่าใครเป็นใครกันบ้าง มีความผูกพันธ์กันระดับใดในครอบครัว ผังเครือญาตินี่มีประโยชน์มากสำหรับชาวสาธารณสุขครับ ดูผังเดียวอาจจะบอกได้ถึงโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธ์เพื่อเตรียมการระวังป้องกัน ถ้าคุ้นเคยกับครอบครัวนี้ดี อาจจะช่วยแนะนำอะไรบางอย่างเพื่อแก้ปัญหาครอบครัวที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างสละสลวยสวยงาม แต่มันก็สำคัญที่คนบันทึกโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคอาจจะทำให้เกิดจากพันธุ์กรรมได้ ต้องบันทึกได้ดีครับถึงจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
3 โครงสร้างองค์กรชุมชน เครื่องมือนี้จะทำให้รู้จัก กลุ่มต่างๆในชุมชน เพื่อการเข้าหาชุมชนได้ง่ายขึ้น เราเน้นกลุ่มที่ยังมีบทบาทอยู่นะครับ จะเป็นกลุ่มที่ถูกจัดตั้งอย่างเป็นทางการ เช่น อบต อสม หรือว่าเป็นกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ เช่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มผู้นำที่ไม่มีตำแหน่งอะไรแต่ได้รับความเคารพนับถือจากคนในชุมชน กลุ่มเกษตรกร ฯลฯ ยิ่งรู้กว้างๆยิ่งดี ยิ่งรู้ลึกซึ้งก็ยิ่งเป็นประโยชน์
4 ระบบสุขภาพชุมชน เครื่องมือนี้มีประโยชน์โดยตรงกับชาวสาธารณสุขเช่นกันครับ ถ้าเข้าถึงชุมชนได้เรียนรู้การดูแลรักษาตนเองของคนในชุมชน(ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะดูแลตนเองเป็นเบื้องต้นก่อน) การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์สมัยใหม่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเพื่อการดูแลคนในชุมชนต่อไปในอนาคตเป็นการดูแลรักษาเบื้องต้นที่เราต้องยอมรับก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตขิงชุมชนให้ดีขึ้นเราต้องพึ่งพาอาศัยกัน
5 ปฏิทินชุมชน เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจวิถีชีวิต การเข้าใจวิถีชีวิตของคนในชุมชนเป็นรากฐานสำคัญของการทำขบวนการเชิงรุก โดยอาศัยปฏิทินชุมชนเราจะหาจังหวะสำหรับการทำขบวนการเชิงรุกใดๆกับชุมชนได้อย่างเหมาะสม เช่นถ้ารู้ว่าเค้าจะเกี่ยวข้าวกันช่วงไหนก็พยายามหลีกเลี่ยงการรณรงค์ต่างๆ ปฏิทินชุมชนทำให้เราเข้าถึงกับการทำงานหน้าที่รับผิดชอบของคนในชุมชนมากขึ้นทำให้เรารู้ว่าแต่ละวัน เดือน ปี เราจะแก้ไขและสามารถพบปะชุมชนได้ที่ไหน อย่างไร
6 ประวัติศาสตร์ชุมชน เครื่องมือนี้เป็นการเรียนรู้ตื้นลึกหนาบางของชุมชนนั้นๆ ความภาคภูมิใจของคนในชุมชน หรืออดีตที่คนในชุมชนไม่อยากจะจำ บันทึกเรื่องราวต่างๆในอดีตทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการสาธารณสุข การใช้เครื่องมือนี้เปรียบเสมือนใช้เป็นใบเบิกทางเพื่อการกลมกลืนกับชุมชนนั้นๆจนเป็นเนื้อเดียวกัน และ การรู้ประวัติของชุมชนนั้นทำให้เราได้รู้จักและเข้ากับชุมชนได้ง่ายขึ้น
7 ประวัติชีวิต ของคนที่เป็นตัวอย่าง ไม่เน้นว่าต้องเป็นคนดี มีความสามารถหรือประสบความสำเร็จเท่านั้นนะครับ ประวัติชีวิตคนจนๆที่น่าสนใจก็ใช้เครื่องมือนี้ได้ ประวัติชีวิตของหมอตำแยในหมู่บ้าน หรือหมอน้ำมันหมอน้ำมนต์ ก็เช่นเดียวกัน เราใช้วิธีนี้ในการเรียนรู้ ความเป็นมนุษย์จากชีวิตเป็นประวัติบุคคลสำคัญของผู้นำที่ดี
1 แผนที่เดินดิน เป็นเครื่องมือชิ้นแรกที่ใช้เข้าไปสัมผัสกับพื้นที่นั้น จะต้องลงเดิน ทักทายทำความรู้จักคุ้นเคยกับผู้คน เห็นพื้นที่ทางกายภาพว่าบ้านเรือน สถานที่สำคัญตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง และเข้าใจพื้นที่ทางสังคม ว่าจุดใดกันที่เป็นจุดศูนย์รวมของคนในชุมชน สถานที่ใดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นเขตหวงห้าม นักวิจัยคุณภาพจำเป็นต้องเรียนรู้ให้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ถึงเรื่องต่างๆเหล่านี้ของชุมชน
2 ผังเครือญาติ บอกความสัมพันธ์ของกลุ่มคนในครอบครัวหรือในวงศ์สกุลเดียวกัน ว่าใครเป็นใครกันบ้าง มีความผูกพันธ์กันระดับใดในครอบครัว ผังเครือญาตินี่มีประโยชน์มากสำหรับชาวสาธารณสุขครับ ดูผังเดียวอาจจะบอกได้ถึงโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธ์เพื่อเตรียมการระวังป้องกัน ถ้าคุ้นเคยกับครอบครัวนี้ดี อาจจะช่วยแนะนำอะไรบางอย่างเพื่อแก้ปัญหาครอบครัวที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างสละสลวยสวยงาม แต่มันก็สำคัญที่คนบันทึกโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคอาจจะทำให้เกิดจากพันธุ์กรรมได้ ต้องบันทึกได้ดีครับถึงจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
3 โครงสร้างองค์กรชุมชน เครื่องมือนี้จะทำให้รู้จัก กลุ่มต่างๆในชุมชน เพื่อการเข้าหาชุมชนได้ง่ายขึ้น เราเน้นกลุ่มที่ยังมีบทบาทอยู่นะครับ จะเป็นกลุ่มที่ถูกจัดตั้งอย่างเป็นทางการ เช่น อบต อสม หรือว่าเป็นกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ เช่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มผู้นำที่ไม่มีตำแหน่งอะไรแต่ได้รับความเคารพนับถือจากคนในชุมชน กลุ่มเกษตรกร ฯลฯ ยิ่งรู้กว้างๆยิ่งดี ยิ่งรู้ลึกซึ้งก็ยิ่งเป็นประโยชน์
4 ระบบสุขภาพชุมชน เครื่องมือนี้มีประโยชน์โดยตรงกับชาวสาธารณสุขเช่นกันครับ ถ้าเข้าถึงชุมชนได้เรียนรู้การดูแลรักษาตนเองของคนในชุมชน(ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะดูแลตนเองเป็นเบื้องต้นก่อน) การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์สมัยใหม่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเพื่อการดูแลคนในชุมชนต่อไปในอนาคตเป็นการดูแลรักษาเบื้องต้นที่เราต้องยอมรับก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตขิงชุมชนให้ดีขึ้นเราต้องพึ่งพาอาศัยกัน
5 ปฏิทินชุมชน เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจวิถีชีวิต การเข้าใจวิถีชีวิตของคนในชุมชนเป็นรากฐานสำคัญของการทำขบวนการเชิงรุก โดยอาศัยปฏิทินชุมชนเราจะหาจังหวะสำหรับการทำขบวนการเชิงรุกใดๆกับชุมชนได้อย่างเหมาะสม เช่นถ้ารู้ว่าเค้าจะเกี่ยวข้าวกันช่วงไหนก็พยายามหลีกเลี่ยงการรณรงค์ต่างๆ ปฏิทินชุมชนทำให้เราเข้าถึงกับการทำงานหน้าที่รับผิดชอบของคนในชุมชนมากขึ้นทำให้เรารู้ว่าแต่ละวัน เดือน ปี เราจะแก้ไขและสามารถพบปะชุมชนได้ที่ไหน อย่างไร
6 ประวัติศาสตร์ชุมชน เครื่องมือนี้เป็นการเรียนรู้ตื้นลึกหนาบางของชุมชนนั้นๆ ความภาคภูมิใจของคนในชุมชน หรืออดีตที่คนในชุมชนไม่อยากจะจำ บันทึกเรื่องราวต่างๆในอดีตทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการสาธารณสุข การใช้เครื่องมือนี้เปรียบเสมือนใช้เป็นใบเบิกทางเพื่อการกลมกลืนกับชุมชนนั้นๆจนเป็นเนื้อเดียวกัน และ การรู้ประวัติของชุมชนนั้นทำให้เราได้รู้จักและเข้ากับชุมชนได้ง่ายขึ้น
7 ประวัติชีวิต ของคนที่เป็นตัวอย่าง ไม่เน้นว่าต้องเป็นคนดี มีความสามารถหรือประสบความสำเร็จเท่านั้นนะครับ ประวัติชีวิตคนจนๆที่น่าสนใจก็ใช้เครื่องมือนี้ได้ ประวัติชีวิตของหมอตำแยในหมู่บ้าน หรือหมอน้ำมันหมอน้ำมนต์ ก็เช่นเดียวกัน เราใช้วิธีนี้ในการเรียนรู้ ความเป็นมนุษย์จากชีวิตเป็นประวัติบุคคลสำคัญของผู้นำที่ดี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)